เทศน์บนศาลา

ขุดกิเลส

๖ ต.ค. ๒๕๔๕

 

ขุดกิเลส
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๕
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจ ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรม ธรรมะคือสิ่งที่ว่ามันเข้าถึงหัวใจได้ ธรรมะเป็นการสื่อออก พูดสิ่งที่มันเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่ สิ่งที่มีชีวิตอยู่ เรายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเรามันจะเป็นประโยชน์ ถ้าเราหมดสิ้นชีวิตเราไป มันจะไม่เป็นประโยชน์นะ

ธรรมะถ้ามีชีวิตอยู่ มันเข้าใจเรื่องของธรรม ถ้ามีชีวิตอยู่ เราพลิกแพลงได้ เราสามารถขุดกิเลสออกจากใจได้ กิเลสนี้สามารถขุดออกไปจากใจได้ ถ้าเราสิ้นชีวิตไปแล้ว มันหมดโอกาสในการขุดกิเลสออกจากใจ เพราะว่ากิเลสมันตายไปกับชีวิตนั้น ชีวิตนั้นต้องพลัดพรากไป ต้องหมุนเวียนไป จะไม่ได้พบธรรมะนี้

ธรรมะนี้วางไว้ในโลกนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ในโลกนี้ ๕,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีใครมาเกิด เกิดในช่วงนี้เราจะเจอพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องการพ้นจากทุกข์ สิ่งที่เกิดในหัวใจนี้เป็นเรื่องของความทุกข์ ทุกข์นี้เกิดมาเพราะเรามีชีวิต มีชีวิตนี้รับสภาวะของความทุกข์ได้ ความทุกข์เกิดพร้อมกับในหัวใจเรา ความทุกข์ ความไม่พอใจ ความขัดข้องใจของใจอันนี้มันเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมามันผิดพลาดไป มันก็เป็นความทุกข์ของเรา...มันผิดพลาดไป เห็นไหม มันไม่เข้าทำนองคลองธรรม ถ้ามันเข้าทำนองคลองธรรม มันจะเป็นความสุขของผู้ที่ว่าความสุขของผู้มีความรู้ได้ขนาดนั้น

แต่ความสุขของผู้รู้จริงแล้ว มันจะไม่มีความสุขในโลกนี้ โลกนี้เป็นสิ่งที่อาศัยเจือจานกันเป็นชั่วครั้งชั่วคราว สิ่งที่อาศัยเจือจานกันไป เห็นไหม เพราะสิ่งที่จะจับต้องไปสิ่งใด สิ่งนั้นไม่เป็นสิ่งที่เป็นสัจจะความจริงเลย เป็นสมมุติทั้งหมด แต่เป็นสมมุติก็เป็นการหมุนเวียนไปของชีวิตนี้ ชีวิตนี้ต้องพลัดพราก ต้องหมุนเวียนไปตามอำนาจของกรรม มันเป็นโดยธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาเป็นแบบนี้

ธรรมะถึงเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติเหนือความรู้สึกของธรรมชาติอันนี้ไง

ธรรมชาติอันนี้หมุนเวียนไป มันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ความจริงหมุนไปตามโลกเขา หมุนออกไปตามโลก สิ่งที่เป็นโลกเขา แล้วความรู้เรามีเท่านั้นไง รู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พึ่งอาศัย สิ่งนี้มีความสุขของเรา เพลิดเพลินไปกับโลก เพลิดเพลินกับความเห็นของกิเลสที่มันปกปิดหัวใจไว้

สิ่งที่มีคุณค่าเหนือกว่านั้น ชีวิตนี้มีคุณค่าเหนือกว่านั้น ถ้าย้อนกลับเข้ามาในเรื่องของร่างกายของเรา สิ่งที่เรื่องร่างกายของเรา สิ่งที่ในโลกนี้ศึกษากัน ศึกษาเรื่องร่างกาย ผู้ที่จะศึกษาเรื่องร่างกายต้องคัดแต่คนที่มีปัญญา คนที่มีความรู้มาก ศึกษาเรื่องสรีระ เรื่องหมอ หมอรักษาร่างกาย เขาก็ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว

แต่ความจริงว่าลึกไปยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ว่ามันเหนือควบคุม ยิ่งที่ศึกษา ความศึกษา การศึกษาเล่าเรียนต่างๆ อะไรเป็นผู้รับรู้? ว่าความรับรู้คือสมอง คือความรับรู้ไว้เฉยๆ แต่ความจริงคือหัวใจต่างหากที่มันรับรู้ เห็นไหม รับรู้แล้วคนที่ศึกษามาแล้วยังมีความเมตตากรุณา มีคุณธรรมในหัวใจก็ยังต่างกัน มีคุณธรรมในหัวใจในการรักษาในการพยาบาลคนไข้ก็ต่างกัน นี่มันเป็นเรื่องของใจ ถ้าเรื่องของใจ การศึกษาย้อนเข้ามาที่ใจแล้ว จะเห็นเรื่องของใจมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์จนเราลืมไป เรามองข้ามสิ่งนี้ไป

วันเวลาล่วงไป ล่วงไปนะ เราต้องพลัดพรากต้องจาก ชีวิตนี้ต้องพลัดพรากไปแน่นอน ต้องตายแน่นอน ทุกคนต้องตาย แต่ตายไปพร้อมกับสิ่งที่กำไปในหัวใจนั้น มันได้รับสิ่งใดไป ถ้าได้รับคุณงามความดีไปแล้วแต่ฐานะของใจนั้น ฐานะของใจนั้นก็พาเกิดพาตายตามสถานะของใจนั้น แต่ถ้าเราพยายามลึกซึ้งเข้ามากว่านั้น ฟังธรรมนี่ ฟังธรรมขึ้นมาให้เข้าใจเรื่องของธรรม ถ้ามันเข้าใจเรื่องของธรรม มันจะสลดสังเวชนะ สลดสังเวชว่า “ทำไมคนเรามันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติทำไมเป็นแบบนี้ เป็นแบบว่ามันไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นแก่นสาร ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร”

แก่นสารจริงๆ คือการทำลายทุกอย่างที่เป็นแก่นสารในธรรมชาตินี้ให้หมดไป นั้นกลับเป็นแก่นสาร เป็นแก่นสารเพราะว่ามันไม่มีสิ่งใดจับต้องมันได้ มันต้องทำลายสิ่งนี้ออกไปทั้งหมด มันถึงจะเป็นแก่นสารของความรู้สึกอันนั้น เพราะความรู้สึกอันนั้นเข้าไปพบความเป็นจริง สิ่งที่เป็นจริง เป็นอริยสัจ สัจจะความจริงนี้ ว่าสัจจะนี้มันก็เป็นความจริงอันสมบูรณ์อยู่แล้ว สมบูรณ์คือว่ามันเป็นธรรมะ มันเป็นธรรมชาติที่หมุนเวียนไป

แต่อริยสัจ ผู้ที่เข้าไปรู้อริยสัจ มันต้องเข้าไปทำความรู้จัก ต้องเข้าไปความเห็นของตัวเอง มันต้องย้อนกลับเข้ามาภายใน นี่ธรรมะที่จะฟัง ฟังตรงนี้ไง ฟังที่ว่าสิ่งต่างๆ หัวใจเรื่องของนามธรรม มันแทรกเข้าไปในทุกอณูของอากาศ ทำทุกอณูสิ่งที่ความคิด มันน้อมคิดไปสิ่งใด มันก็แทรกไปสิ่งนั้น เห็นไหม ถ้ามันน้อมแทรกไปในสิ่งใดรับรู้สิ่งนั้น มันก็แบกภาระสิ่งนั้น สิ่งที่มันรับรู้นั้นคือว่ามันรับภาระนั้นแล้ว รับภาระเข้ามาในหัวใจ

แต่เรายังไม่รู้เรื่องเลยว่าใจเรามันไปรับรู้สิ่งนั้นแล้ว มันไปแบกหามสิ่งที่ว่าเป็นไปตามธรรมชาติของเขา มันแบกหามสิ่งนั้นมาเป็นภาระของใจแล้วก็พะรุงพะรังไป รับรู้สิ่งนั้น ต้องการสิ่งนั้น รับรู้แล้วก็ต้องการให้สมความปรารถนาของตัว นั่นน่ะมันออกไปข้างนอก มันไปตามธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของเขาเป็นแบบนั้น การทำงานของจิต ของขันธ์ เป็นธรรมชาติของเขาเป็นแบบนั้น แล้วก็แบกหามความทุกข์มาไว้ในหัวใจ

สิ่งที่แบกหามความทุกข์ไว้ในหัวใจ มันไม่ใช่แบกหามมาเฉพาะชาตินี้หรอก เราสงสัยกันนะ “เราจะประสบความสำเร็จทางชีวิตไหม? ต่อไปเราจะประสบความสำเร็จในความพอใจของเราไหม? เรามีความคิดมีความสมหวัง เราหวังขึ้นมา มันจะประสบความสำเร็จไหม?” เราจินตนาการไป เราคาดหมายอนาคตของเราไป อนาคตคาดหมายไปว่าจะประสบความสำเร็จไหม จะเป็นตามความหวังของเราไหม...คิดออกไปข้างนอก นั่นน่ะมันก็วนไปตามธรรมชาติ ธรรมชาติมันก็เข้ากับธรรมชาติ ธรรมชาติของจิตเป็นแบบนั้น ก็หมุนเวียนไปตามโลกของเขา สิ่งนี้เป็นเรื่องของโลก เรื่องของที่ว่าเรายังไม่ได้ฟังธรรม

ธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเข้ามาว่าตรงนี้ว่าเข้ามา ว่า “ศีล สมาธิ ปัญญา” การสร้างสมบารมีของธรรมนี้ควรอย่างยิ่ง การสร้างสม เห็นไหม ผู้ที่มีบารมีธรรมจะเป็นผู้ที่สมความปรารถนา จะทำสิ่งใดก็สมความปรารถนาเพราะได้สร้างสมบุญญาธิการมา

ผู้ที่ไม่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา แต่มีอำนาจวาสนา พาหิยะเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องโดนควายขวิดตาย เป็นพระอรหันต์นะ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลย แต่ไม่ได้สร้างบุญกุศลมา หาแค่บริขาร ๘ เพื่อจะบวชเป็นพระ ยังหาไม่ได้เลย ให้ควายขวิดตายน่ะ สร้างสิ่งใดมา แต่เขาเป็นพระอรหันต์นะ นั่นน่ะ ความเป็นพระอรหันต์นี้สำคัญที่สุดเลย เพราะใจนั้นปล่อยวาง ขุดกิเลสออกจากใจได้หมดสิ้น

เราจะขุดกิเลสออกจากใจ เรามีเครื่องมือของเราไหม นี่การฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เหตุที่ว่าเราฟังธรรมนี้เป็นแผนที่เครื่องดำเนิน สิ่งที่เครื่องดำเนินไปเพื่อจะไม่ให้เราเดินผิดทางไป แต่การศึกษาเล่าเรียนสมัยปัจจุบันนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น การศึกษาเล่าเรียนอย่างนั้น ศึกษาแล้วมันเป็นความรู้ ความรู้นั้นมันเป็นเรื่องของกิเลสมันรับรู้ไปด้วย สิ่งที่เรื่องกิเลสรับรู้ไปด้วย ความรู้ศึกษาขึ้นมาแล้วมันก็ลังเลสงสัย ลังเลสงสัยว่า “เป็นไปได้หรือ เป็นจริงตามนี้หรือ” นี่กิเลสมันจะสงสัยสิ่งต่างๆ ไป

แล้วคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ มีความเชื่อว่ามันต้องเป็นไปได้ จะประพฤติปฏิบัติ มันก็ยังมีความลังเลสงสัย “สิ่งนั้นจะเป็นไปตามความคิดนั้นไหม ทำสมาธิ สมาธิจะเกิดไหม ความเป็นจริงมันจะเป็นตามที่ศึกษาเล่าเรียนมาไหม” นั่นน่ะสิ่งที่คาดหมาย โทษของมันอยู่ตรงนี้ไง โทษของมันคือกิเลสในหัวใจนี่มันผลักไส กิเลสมันจะขุดให้เราออกไปจากธรรม เราจะขุดกิเลสออกจากหัวใจของเรา แต่กิเลสในหัวใจของเราขุดเราออกไปจากความเป็นจริง มันฉุดกระชากลากไปเพราะกิเลสมันเริ่มลังเลสงสัย มันคิดจินตนาการไปของมันว่ามันจะเป็นไปได้ไหม มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติของเขา

กิเลสนี้เป็นสิ่งที่หลอกลวงใจ กิเลสนี้เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจนี้เศร้าหมอง แล้วหัวใจนี้ทำให้ตกทุกข์ได้ยากตามอำนาจของกิเลสที่จะพาไป กิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจของเรา ความคิดของเรามันเป็นกิเลส มันถึงน่าสลดสังเวชไง น่าสลดสังเวช

“มันเป็นไปได้ไหมที่เราจะประพฤติปฏิบัติแล้วพ้นออกไปจากกิเลส”

นั่นน่ะถึงว่าธรรมะนี้ลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งจนว่าเราคาดหมายไม่ได้เลย สิ่งใดคาดหมาย สิ่งใดจับต้อง สิ่งใดที่พยายามจินตนาการนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเอาไปใช้ทั้งหมดเลย กิเลสมันจะหลอกใช้ในเรื่องหัวใจของเราเพื่อจะให้เราอยู่ในอำนาจของเขา เพื่อจะให้เราตกอยู่ในอำนาจของพญามาร พญามารจะควบคุมเราตลอดไป ควบคุมความคิด ควบคุมหัวใจนี้ให้เกิดตาย เกิดตาย แล้วเขาก็มีความสุขอยู่ในหัวใจของเราที่จะเป็นที่อาศัยของเขา

ถ้าธรรมะเป็นหัวใจของเราเกิดขึ้นมา ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อสะสม เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทาง ฟังธรรมขึ้นมา พระเวลาบวชใหม่ เวลาบวชอุปัชฌาย์ต้องให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั่นน่ะกรรมฐาน ๕ นี่ ถ้าตีตรงนี้แตก นี้เป็นสิ่งที่สุดยอดมากเลย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็คือเรื่องร่างกายของเรา แต่เป็นเรื่องร่างกายที่มันปิดบังไว้

สิ่งต่างๆ ในร่างกาย มันเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องของความที่ว่าน่าสลดสังเวช มันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่ว่าสกปรกโสมมในเรื่องของร่างกาย แต่มันสิ่งที่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้มันปกควบคุมไว้ แล้วเราไม่สามารถทะลุสิ่งนี้เข้าไปได้ เราถึงว่าทำไม่ได้ตามสมความปรารถนา

นี่ถ้าเป็นปริยัตินี้ก็เป็นปริยัติแล้ว สิ่งนี้เป็นการศึกษาเล่าเรียนจากอุปัชฌาย์มาแล้ว อุปัชฌาย์บวชขึ้นมา กรรมฐาน ๕ นี้ขาดไม่ได้เลย ถ้าขาดได้ อุปัชฌาย์นั้นจะไม่เป็นอุปัชฌาย์เลย นั่นน่ะ ทุกคนถึงมีสิทธิ์ไง เพราะผู้ที่บวชพระมาแล้ว บวชมาเป็นนักบวช เป็นนักต่อสู้เพื่อจะขุดกิเลสออกจากใจ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้ตั้งเอาไว้ให้ได้ พยายามรื้อค้นสิ่งนี้ ย้อนกลับเข้ามา จับเข้ามาภายใน จิตนี้ไม่ให้พุ่งออกไปข้างนอก ไม่ให้ไปแบกหามอารมณ์ต่างๆ ไม่ให้ไปแบกหามสิ่งต่างๆ ที่โลกนี้เขาเป็นไปอยู่ เห็นไหม มันจะแบกหาม มันชอบการสิ่งนั้น มันเข้ากันได้กับความรู้สึก สิ่งที่ความรู้สึกกับโลกนี้มันเข้ากันได้ด้วยความสนิทชินชา มันจะเป็นไปอย่างนั้น รับรู้สิ่งนั้นแล้วก็หมุนเวียนออกไปตามโลกเขา รับรู้สิ่งนั้นก็แบกหามสิ่งนั้นออกไป

แต่ว่าถ้าเราพยายามบังคับเข้ามาให้อยู่ในเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันก็อยู่ในร่างกายของเรา จิตมันก็อยู่กับเรา ถ้าจิตมันอยู่กับเรา มันก็จะมีความสงบอยู่กับเรา สิ่งที่ความสงบมันไม่ออกไปฟุ้งซ่าน ไม่ออกไปแบกหามสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาลนใจ ถ้าไม่ออกไปแบกหามสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาลนใจ มันก็สงบตัวลงมา แต่มันต้องใช้สติสัมปชัญญะ สิ่งที่เราจะขุด สิ่งที่เป็นอาวุธต่างๆ เป็นสิ่งที่ว่าเราจะขุดกิเลสออกมา เราต้องหาขึ้นมาแล้วสะสมขึ้นมา

การประพฤติปฏิบัติธรรม ฟังธรรมเพื่อเข้าใจเรื่องของธรรม ธรรมนี้เป็นธรรมโอสถ เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วใครผู้ใดเข้าไปประพฤติปฏิบัติจนรู้แจ้งออกมา นั้นเป็นการขุดกิเลสออกจากใจเป็นชั้นเป็นตอน จะมีความสุขเป็นชั้นเป็นตอน มีความสุขด้วย เป็นบุคคลที่ประเสริฐขึ้นมาในหัวใจของเรา

ในหัวใจของที่มีกิเลสนี้ทำให้บุคคลนั้นเป็นปุถุชน เป็นคนหนาด้วยกิเลส เป็นคนที่มีความทุกข์ยากในเรื่องของความเห็นของตัว ความเห็นของตัวนะ ความทุกข์ของเราคนเดียว ไม่ต้องเอาความทุกข์ของคนอื่นมาแบกหามเลย ความทุกข์ของเรา เราก็ลังเลสงสัย เราก็ไปปลดเปลื้องความทุกข์ของเราไม่ได้ นั่นน่ะถึงว่าแบกหามความทุกข์ของตัวก็ทุกข์ยากแสนยาก ยังแบกหามความทุกข์ของคนอื่น แบกหามความทุกข์ของคนทั่วๆ ไป

“ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคาดเราหมาย เราไม่ต้องการให้เขาเป็นไปอย่างนั้น ทำไมเขาไม่สมความปรารถนา เขาทำของเขาไม่ได้สมความปรารถนา ไม่สมกับความคิดของเรา” นั่นน่ะแบกหามเราไม่พอ แบกหามคนอื่นแล้วก็แบกหามโลกไป นั่นน่ะหัวใจออกไปแบบนั้น มันเป็นเรื่องของโลก

ถ้าเป็นเรื่องของธรรม เห็นไหม ธรรมย้อนกลับเข้ามาหมด ทวนกระแสกิเลสนี่แหละ ทวนกระแสความคิดนี้เข้าไป สิ่งที่จะทวนกระแสความคิดเข้าไป ต้องใช้สติสัมปชัญญะด้วยสมบูรณ์ อันสมบูรณ์แบบคือว่าสติเข้ามา ระลึกรู้อยู่ ผู้ที่ปฏิบัติจะรู้ว่าการประพฤติปฏิบัตินี้มันแสนยากขนาดไหน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ว่าเราควบคุมไม่ได้

เราเคยอยู่ใต้อำนาจของเขา อำนาจของเราไม่มี อำนาจของเราไม่เคยต่อสู้กับสิ่งที่ว่าความเคยใจของเรา กิเลสในความเคยใจของเราที่มันฉุดกระชากความเห็นของเราไป สิ่งนี้มีอำนาจเหนือเรามาตลอด แล้วบังคับบัญชาให้เราหมุนเวียนหมุนตายมาตลอด แล้วมันก็หมุนเวียนหมุนตายมาจนถึงปัจจุบันนี้ นี่หมุนเวียนหมุนตายมานะ สิ่งนี้อยู่ใต้อำนาจเขามาตลอดเลย เราเป็นบ่าวของเขามาตลอดเลย เป็นบ่าวของกิเลสนะ ทั้งๆ ที่หัวใจนี้เป็นของเรา เราเป็นเจ้าของหัวใจของเรา ความรู้สึกของเรานี้เป็นเจ้าของว่าเราเป็นเจ้าของ เรารักตัวสงวนตัวมาก เราอยากได้คุณงามความดี เราอยากได้ประพฤติปฏิบัติ อยากได้มีคุณธรรมในหัวใจ

เพราะเราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ว่ากิเลสความเร่าร้อนในหัวใจนี่มันอ๋อเลย อ๋อ! ทุกข์จริงๆ เราก็ทุกข์อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่านี่ ถ้าอย่างนั้นแล้วเราจะหาทางออก เรามี เราได้ฟังธรรมเราถึงมีทางออก แล้วเราพยายามจะประพฤติปฏิบัติเพื่อจะให้ออกได้

เราเพิ่งจะเริ่มต้นที่จะแข็งข้อกับกิเลสในหัวใจของเรา เราจะเริ่มแข็งข้อขึ้นมา เราจะมีน้ำหนัก มีกำลังขนาดไหนที่เราจะแข็งข้อกับกิเลสในหัวใจของเราได้ ถึงว่าการประพฤติปฏิบัติมันยากตรงนี้ ยากตรงที่เราไม่เคยแข็งข้อกับกิเลสของเราเลย เราตามแต่อำนาจของกิเลสที่ขับไสเราไป เราคิด เราจินตนาการไป เราคิดตามกิเลสไปตลอดเวลา เราไม่เคยแข็งข้อกับกิเลสของเรา

แล้วเราเริ่มต้น เราจะแข็งข้อกับกิเลสของเรา แล้วกิเลสกับเรานี้มันไม่ต่อสู้กันหรือ? มันต้องต่อสู้กัน เราถึงต้องมีความตั้งใจ มันจะทุกข์ขนาดไหน เรื่องงานการชำระกิเลสมันเป็นงาน ขึ้นชื่อว่างานแล้วมันเป็นการว่าแบกเหงื่อต่างน้ำทั้งนั้นล่ะ

การหาบหามกันในการทำงาน ความทุกข์ทางโลกเขา ทำงาน เขาทำงานเพื่อประกอบโลก เพื่อให้เป็นเรื่องของโลก เขายังพอใจทำ เพราะเขาคิดว่าอันนั้นเป็นประโยชน์ สิ่งนี้เราก็ทำมา เราเคยทำมาเหมือนกันว่าเป็นเรื่องสิ่งที่อยู่อาศัยของเรา เป็นปัจจัย ๔ เราต้องรักษา เราต้องซ่อมแซม เราก็ทำเป็น ผู้คนทำเป็น คนที่เป็นคนมีชีวิตเห็นเขาทำเราก็ทำได้ สิ่งนี้ทำแทนกันได้

แต่ในเรื่องของหัวใจไม่มีใครทำแทนกันได้เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมตตามาก เหมือนกับเรารักลูก เรามีลูกมีหลาน เรารักไหม? เรารักลูกรักหลานเรามาก เราอยากให้ลูกหลานเราเป็นคนดี เห็นไหม นี่แบกโลก แบกจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างที่ว่า ถ้าอยากให้เขาเป็นคนดี เราอยากให้ประสบความสำเร็จไหม? เราอยากจะทำให้เขา...สิ่งที่เขาทำไม่เป็น เราอยากทำให้เขาเป็นเลยน่ะ แต่มันเป็นไปไม่ได้

ลูกหลานเรา เราก็ต้องให้ศึกษาเล่าเรียน ต้องให้เขามีประสบการณ์ชีวิตเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกให้ได้ เพื่อมีชีวิต เพื่อมีที่ยืนในสังคมโลก นั้นก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา เราเพียงแต่ว่าแนะนำวิธีการ เหมือนกันเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ อยากจะแบกออกไป อยากจะพาให้พ้นจากกิเลสให้ทั้งหมดเลย...แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา

อาหารคือธรรม วางอยู่ตรงหน้าเราแล้วเราไม่เคยเปิบอาหารใส่ปากเลย เราไม่กินของเราเอง เราจะอิ่มไปได้อย่างไร? แล้วเราทำอย่างไรจะให้อิ่มไป มันเป็นไปไม่ได้ มันถึงต้องว่าเราศึกษาธรรม เราฟังธรรมแล้วเราต้องปฏิบัติธรรม ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นเป็นผู้ที่มีความคิด มีโอกาส คนที่สร้างโอกาสให้ตัวเอง คนนั้นเป็นคนที่ประเสริฐ

คนที่สร้างโอกาสให้เรา เราพยายามสร้างโอกาสให้เรา เรายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่มีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ว่าเป็นโอกาสของเราทั้งหมดเลย ถ้าเราตายไปแล้วนั้นคืออำนาจวาสนาที่เราสะสมมาเป็นของดั้งเดิมไป หมุนเวียนไปตามกระแสโลก นั้นเป็นโอกาสอีกสถานะหนึ่งที่มันจะเป็นไปข้างหน้า แต่ในเมื่อยังไม่เป็นไป เราต้องตั้งใจตรงนี้

ถ้าสิ่งนี้เราเสียดายเวลาของเรา เราต้องตั้งใจของเรา แล้วพยายามทำของเรา เห็นไหม กำหนดพุทโธก็ได้ พุทโธก็ได้ กำหนดใช้ปัญญาไล่ความคิด ต้อนความคิดเข้ามาก็ได้ สิ่งนี้ต้องทำ ถ้าสิ่งนี้ไม่ทำแล้วมันเป็นเรื่องของกิเลส เราศึกษาธรรมมา กิเลสหลอกขนาดไหน มันก็เป็นไปตามเขา นี่กิเลสมันออกตรงนี้ เราถึงต้องปิดล้อมเข้ามาไง

เราปิดล้อมเข้ามาด้วยการที่ว่าเราไม่คิดตามเขา เราใช้คำบริกรรม เราจะไม่ให้ออกไปตามนั้นเลย ใช้คำบริกรรมเข้ามา สิ่งนี้คือให้เปลี่ยน เปลี่ยนแปลงจากความที่เคยคิดโดยนิสัย เคยคิดโดยความสะดวกสบายของตัวเอง ให้เปลี่ยนเป็นพุทโธ พุทโธ พุทโธ ให้อยู่กับพุทโธ ให้ใช้คำบริกรรมเกาะเกี่ยวกับใจไป

เหมือนกับเด็กหัดเดิน เด็กหัดเดินต้องเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด หัดเดินไปก่อน แล้วจะเดินได้ จะก้าวเดินได้ จะวิ่งได้ จะทำได้ เขาจะมีกำลังของเขาขึ้นมา นี้ก็เหมือนกัน ใจจะเป็นกำลังของเราขึ้นมา มันต้องมีสัมมาสมาธิขึ้นมา มันถึงจะเป็นกำลังของใจขึ้นมา ใจนี้อ่อนแอมาก ยืนขึ้นมาก็ล้มแผละ ยืนขึ้นมาก็ล้มแผละ ตั้งใจจะประพฤติปฏิบัตินะ ตั้งใจจะทำจริงทำจังนะ แล้วก็ล้มลุกคลุกคลานไป ล้มลุกคลุกคลานไปตั้งแต่ยังไม่ได้ทำ

สิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติยังไม่ได้ทำไป ล้มลุกคลุกคลานไปแล้ว แล้วเราจะเอากำลังใจมาจากไหน จะเอาสัมมาสมาธิมาจากไหน สัมมาสมาธินี้เป็นสิ่งที่อบอุ่นใจขึ้นมาก่อน สิ่งที่ใจอบอุ่นขึ้นมา สิ่งที่คนที่ว่าเราจะเล่นกีฬา เราจะแข่งกีฬาขนาดไหน เราต้องฝึกซ้อมของเราเพื่อจะเข้าไปแข่งกีฬากับข้าศึก คือกิเลสไง กีฬาคือการปฏิบัติธรรม

สิ่งที่ปฏิบัติธรรมในหัวใจของเรา เราจะต่อสู้กับกิเลส ธรรมมันจะเจริญขึ้นมางอกงามได้ขนาดไหน ธรรมเราจะยืนขึ้นมาได้ขนาดไหน ธรรมจะมีอำนาจขนาดไหนที่จะเข้าไปต่อสู้กับกิเลสนั้น แล้วไม่มีอำนาจเลย กิเลสจ้วงเอา จ้วงเอานะ กิเลสพยายามเล่นกีฬากัน โดนเขาทำคะแนนตลอดไป แล้วจะเอาธรรมมาจากไหนในหัวใจ เอาอะไรไปขุดกิเลสออกมาจากหัวใจ

กิเลสมันจ้วงเอาจนหงายตลอด หงายตลอด เราล้มลุกคลุกคลานนะ การประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลาน เราก็มีความเสียใจอ่อนใจว่า “เราทำไมทำไม่ได้อย่างนั้น ทำไม่ได้อย่างนั้น” ทำได้ถ้าเรามีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มีความจริงใจของเรา สรรพสิ่งทำได้

คนเราเกิดมาในโลกนี้ ทุกคนเกิดมาเดินไม่เป็น...ทำไมเดินเป็นกันหมดล่ะ ทำไมพ่อแม่สอนให้ลูกเดินได้ล่ะ อันนี้ก็ว่าเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่เขาก็ต้องเดิน เห็นไหม ธรรมชาติอันหนึ่งก็จริงอยู่ แต่ธรรมนี้ก็เป็นธรรมที่มีอยู่แล้วโดยดั้งเดิม ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติของธรรม แต่ธรรมนี้เหนือธรรมชาติในวัฏฏะ

สิ่งที่เราเวียนตายเวียนเกิดนี้เป็นธรรมชาติในวัฏฏะ แต่ธรรมอันนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า มันก็มีอยู่แล้ว ทำไมเราเข้าถึงสิ่งนั้นไม่ได้ นี่มันน่าจะเป็นข้อคิดของใจ ใจเราตั้งสิ่งนี้เป็นข้อคิดขึ้นมาได้ เราจะมีกำลังใจว่าเราต้องทำได้ ในเมื่อเด็กเดินได้ทั้งหมดในโลกที่พ่อแม่ฝึกสอนเดินได้ เว้นไว้แต่คนพิการ เว้นไว้แต่คนที่เป็นไข้ เป็นโรคสิ่งที่เดินไม่ได้ นั้นเว้นไว้

แต่เราจะเป็นอย่างนั้นไหม เราจะเป็นคนส่วนมากที่เดินได้ หรือจะเป็นคนพิการที่เดินไม่ได้ หัวใจจะเดินไปไม่ได้ถ้าไม่มีความสงบของใจเข้ามา ถ้าหัวใจจะเดินไปได้ จะมีความสงบของเราเข้ามา พยายามเข้ามา พยายามมีความอุตสาหะเข้ามา ความตั้งใจของเรา ใจของเราตั้งขึ้นมา กำลังใจมันก็เกิดขึ้น ความเพียรมันก็ตามมา

ถ้ามีความเพียรขึ้นมา มันก็เป็นเราเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติตรงตามความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ ความเพียรชอบ การงานชอบ งานของเรา หน้าที่ของเรา เวลาอยู่วัดอยู่วาแล้ว หน้าที่ของเรามีหน้าที่แค่ประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้นเลย งานอย่างอื่นนั้นเป็นข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นเรื่องที่ว่าปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิตไปเท่านั้น

แต่งานของเราเป็นงานการชำระกิเลส มันต้องทำงานของเรา อย่าฆ่าเวลาให้มันเสียเปล่าไปโดยที่ว่าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ ปล่อยให้เวลามันผ่านพ้นไป ผ่านพ้นไป นี่มันจะออกพรรษาอยู่แล้วนะ เข้าพรรษามา ปุ๊บปั๊บเข้าพรรษามา นี้จะออกพรรษาอยู่แล้ว แล้วเราทำอะไรกันอยู่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีความสุขของใจขึ้นมาสิ ผลของมันต้องเกิดขึ้นมาให้เรามีความสุขในหัวใจบ้าง ถ้ามีความสุขในหัวใจบ้าง นั่นน่ะเรามีเครื่องมือจะไปขุดกิเลส ถ้ามีเครื่องมือไปขุดกิเลส เห็นไหม ความสุขเกิดขึ้นมาเพราะความสงบของใจ เป็นจากปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลส จะเป็นกัลยาณปุถุชน

คนที่เป็นกัลยาณปุถุชน เห็นไหม ผู้ที่มีสายตา ผู้ที่จะมีการรื้อค้นของใจ ถ้าสิ่งที่มีการรื้อค้นของใจ ใจมันจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามาได้เพราะเราตั้งตัวขึ้นมาได้ นั่นน่ะถ้าธรรมแข็งแรงขึ้นมาในหัวใจ หัวใจจะตั้งตัวได้ แล้วย้อนกลับเข้ามาพิจารณา

สิ่งที่จะพิจารณาให้มันเป็นปัญญานะ เป็นปัญญาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นปัญญาของเรา เป็นสมบัติของเรา ไม่ใช่สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่สมบัติของครูบาอาจารย์ สมบัติของครูบาอาจารย์นั้นเป็นเทศน์คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ แต่ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการใคร่ครวญของเรา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการพยายามค้นคว้าให้เห็นสติปัฏฐาน ๔ นั้นเป็นปัญญาของเรา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติปัญญาเกิดขึ้นมา เห็นไหม นี่คือเครื่องมือไง สิ่งนี้จะขุดกิเลสออกไปจากใจ ขุดออกไปจากใจให้มันพ้นออกไปจากใจ ให้เราเข้าถึงธรรม

ใจนี่ สิ่งที่กิเลสฝังอยู่ในหัวใจ โดนเครื่องมืออันนี้ขุดอยู่ตลอดเวลา พยายามค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา นี่ปัญญาเกิดขึ้นมาแบบนี้ ที่ว่าปัญญาชำระกิเลสๆ เกิดขึ้นมาจากไหน? ปัญญาชำระกิเลสมันก็เกิดขึ้นมาจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก้าวเดินของเราขึ้นมาจนกว่าเราจะก้าวเดินของเราไปได้ สิ่งนี้เราก้าวเดินของเราขึ้นมาได้ มันก็เป็นสมบัติของเรา สมบัติของเรา คนมีสมบัติคนนั้นมีเครื่องอาศัย คนมีสมบัติขึ้นมาในหัวใจมันจะมีความอบอุ่นใจเพราะเรามีสมบัติของเรา เรามีธรรมของเราในหัวใจ

นี้ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจมีธรรมขึ้นมา มีความสงบขึ้นมา มีความเย็นใจขึ้นมา แล้วใครมันจะมาหลอกใจดวงนั้นได้ ใจดวงนั้นเป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะใจดวงนั้นเอง แต่ก่อนเราจะเชื่อไม่เชื่อ เชื่อว่าธรรมมีจริงหรือไม่มีจริง ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วก็มาตีค่าอยู่ในหัวใจ ลังเลสงสัยไปตลอด สิ่งที่ลังเลสงสัยไปเพราะยังเข้าไม่ถึงความสงบ ถ้าจิตนี้เข้าถึงความสงบแล้วความลังเลสงสัยมันจะต้องปล่อยวางไป ปล่อยวางไปเป็นชั้นเป็นตอน เพราะใจมันจะเข้าถึงความสงบ แล้วที่ว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันกับจิตดวงนั้น

จิตดวงนั้นมีความสงบ มีความรู้สึกในหัวใจว่า นี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ได้ก่อน แต่เราพึ่งเริ่มได้เครื่องมือ ธรรมรสชนะรสทั้งปวง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง

นี้ก็เหมือนกัน ความสุขของใจ แค่มีความสุขในหัวใจนะ มันจะชนะรสชาติอย่างอื่นทั้งหมดเลย จิตนี้แบกหามสิ่งต่างๆ นั้น มันแบกหามไปด้วยหน้าที่ ถ้าเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องแบกหามเพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นภาระของเรา อันนั้นทำไป ถึงเวลาทำต้องทำ เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติถึงต้องทำ

คนเราเกิดมาต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้น สิ่งที่อาศัย เราหาแค่อยู่อาศัยไป รีบทำให้มันถึงเวลาทำก็ทำ ทำเสร็จแล้วหมดงานนั้นเราต้องพักงานนั้น เราต้องมาทำงานของเรา งานของเราคืองานการพยายามทำหัวใจขึ้นมา ให้สงบขึ้นมาให้มากขึ้น สงบขึ้นมาให้มากขึ้น รักษาใจของเราให้ได้ ถ้าใจเรารักษาได้ขึ้นมามันจะเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว จิตนี้จะทรงตัวได้ตลอดเวลา สิ่งที่ทรงตัวได้ ถ้าเราไม่ใช้งานไป สัมมาสมาธิมันจะต้องเสื่อมสภาพไป สิ่งนี้เรารักษาไว้ขนาดไหนมันก็เป็นความสุข

ผู้ใดติดสุข สุขในความสงบนั้น ความสงบนั้นต้องแปรสภาพหมด สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาแล้วเราหาธรรมมาเพื่ออะไรล่ะ ธรรมนี้เป็นอนัตตา ธรรมนี้เป็นธรรมาวุธ สามารถชำระกิเลสได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเราต้องสร้างสมขึ้นมา แล้วฝึกฝน เห็นไหม ฝึกฝนเพื่อให้เกิดปัญญาในการรักษา การรักษาใจนี้ ผู้รักษาเป็น อย่างอื่นไม่สำคัญ มันจะแปรสภาพขนาดไหนให้มันแปรสภาพไป เราอยู่กับคำบริกรรม อยู่กับผู้รู้ตลอดเวลา สิ่งที่อยู่กับผู้รู้นั้นคือการรักษา การรักษาสัมมาสมาธิคือกำหนดคำบริกรรมไว้ มันจะไปไหนให้มันเป็นไป มันเป็นไปเถิด

แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผู้ที่รักษาไม่เป็น เห็นไหม พอจิตกระเพื่อมเข้าไป ไปคิดตามสิ่งอื่นไปก็ตามความคิดไป คิดสิ่งนั้นก็ฟุ้งซ่านออกไป สิ่งนั้นก็ฟุ้งต่อไป ต่อไป นั่นน่ะมันคิดว่าอย่างนั้นคือการรักษาอารมณ์ไง ทำไมมันเสื่อม จิตนี้เสื่อมขึ้นมา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น พอเสื่อม...มันไม่น่าเสื่อมเลย มันเสื่อมเพราะอะไร เราผิดพลาดเพราะสิ่งใด

นั่นน่ะ หาเหตุหาผลไงว่ามันเสื่อมเพราะอะไร หาว่ามันจะมีความผิดตรงไหน ยิ่งหาขนาดไหน ไอ้การหานั้นคือใจมันฟุ้งซ่าน สิ่งที่ฟุ้งซ่าน สิ่งนี้ไม่เข้าใจก็พยายามหา หาว่ามันโทษ โทษว่ามันเป็นเพราะสิ่งใด ก็วนไปตามความคิด ความคิดมันก็ส่งออกไปข้างนอก นั่นน่ะมันก็ฟุ้งซ่านขึ้นมา มันไม่ต้องสิ่งนั้น ปล่อยวางทั้งหมด

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องแปรสภาพเป็นธรรมดา” เราต้องย้อนกลับมาที่ความสงบของเรา ย้อนกลับมาที่ผู้รู้ของเรา ย้อนกลับมาคำบริกรรมของเรา นี่คือการรักษา ถ้าเรารักษาคำบริกรรมของเราไว้ได้ เราพยายามความผู้รู้ของเราไว้ได้ เราจับตัวผู้รู้ไว้ นั่นน่ะย้อนกลับมาตรงนี้

แต่ในการประพฤติปฏิบัตินี้มันต้องสร้างสม มันต้องใช้กำลังงาน ต้องใช้สติสัมปชัญญะตลอดเวลา มันต้องจดจ่อตลอดเวลาไง การจดจ่อต่อเนื่องของเรามันก็จะเป็นธรรม ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะจดจ่อต่อเนื่องกันอยู่ อันนั้นคือการปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่ได้จดจ่อ...มันก็วนออกไปข้างนอก สิ่งที่วนออกไปข้างนอก นั้นน่ะมันเสื่อม แล้วมันไม่ใช่ปัญญาในการชำระกิเลส มันเป็นปัญญาในการรักษาความสงบของใจ สิ่งที่เป็นปัญญาคือการใคร่ครวญ คือการสงวนรักษา รักษาใจไว้เฉยๆ รักษาใจไว้ให้เป็นเอกัคคตารมณ์ รักษาใจไว้ให้เป็นหนึ่ง

สิ่งที่เป็นหนึ่งแล้วเราต้องพลิกขึ้นมา ถ้าเราพลิกขึ้นมา เราค้นคว้าหากาย หาเวทนา หาจิต หาธรรม ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ เราจับต้องแล้ว เราพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจมาตั้งแต่ต้น จิตมันถึงสงบเข้ามา อันนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แล้วเราต้องสาวต่อเข้าไป

นั่นน่ะกายนอก กายใน กายนอก หมายถึงใจเราพิจารณาจากภายนอกเข้ามา มันสลดสังเวชมันก็ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา จนจิตมันสงบขึ้นมา จนเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา สงบเข้ามาแล้วมันก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณากายซ้ำ ถ้าพิจารณากายซ้ำเป็นกายใน กายนอกและกายในนี้มันสืบต่อกัน แต่มันเป็นเพราะความประมาท เพราะเป็นความมักง่ายของเรา

ถ้าเรามักง่ายขึ้นมา เราเห็นกายนอกขึ้นมา เราพิจารณาเข้ามาแล้วมันปล่อยวางเข้ามา เราจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นเราเป็นการพิจารณาเข้ามาแล้วมันว่าง มันว่าง มันว่างอย่างไรเราไม่ได้ขุดกิเลสเลย มันเป็นความพิจารณาเข้ามาเพื่อให้มันสลดสังเวช สลดสังเวชไม่ให้ไปแบกหามสิ่งที่เป็นภายนอกเข้ามา สิ่งที่เป็นภายนอก เห็นไหม กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย เราถนอมรักษากายขนาดไหน ถนอมรักษาสิ่งที่มันแปรสภาพ เราไม่ได้ถนอมรักษาหัวใจ สิ่งที่เป็นหัวใจ เห็นไหม รักษากายขนาดไหน กายนี้ก็ต้องแตกสลายไปโดยธรรมชาติของมัน แต่หัวใจไม่เคยแตกสลาย

สิ่งที่ไม่เคยแตกสลาย มันเพียงแต่มันมีกรรมแล้วกรรมนี้พาเกิดพาตายไป สิ่งที่กรรมในหัวใจนี้พาเกิดพาตายหมุนเวียนไปในวัฏฏะ เราไม่ได้รักษาสิ่งนี้ไง ถ้าเรารักษาใจของเรา ใจมันต้องสงบขึ้นมา รักษาใจด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันเป็นสิ่งที่เป็นกายนอก สิ่งที่กายนอกคือการทำให้สงบเข้ามา แต่พิจารณาซ้ำเข้าไปแล้วพอจิตมันสงบเข้ามา ยกขึ้นมาเห็นจากความสงบของใจ จากสัมมาสมาธิที่มันสงบขึ้นมานี่ มันเห็นกายขึ้นมา เห็นกายสิ่งนี้มันไปเห็นกายจากภายใน เห็นกายจากตาธรรม เห็นกายจากนิมิตไง

สิ่งที่เป็นนิมิต นิมิตขึ้นมา คือเป็นภาพของร่างกายขึ้นมา เห็นจากภายใน มันจะสะเทือนหัวใจมาก สะเทือนหัวใจเพราะสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งที่กิเลสอยู่ในหัวใจ มันอยู่ในหัวใจ แล้วมันพาให้จิตนี้ตายเกิด ตายเกิดมาจากไม่มีต้นไม่มีปลายเลย แล้วไม่มีใครเคยเห็นหน้ามัน

สิ่งที่เป็นสิ่งลึกลับในหัวใจนะ มันจะลึกลับปกคลุมอยู่ในหัวใจ แล้วไม่มีใครเคยเห็นหน้ามันเลย แต่พอเราทำความสงบเข้ามา แล้วยกขึ้นเห็นกายได้ มันจะสลดสังเวช สิ่งที่สลดสังเวช มันสะเทือนหัวใจ ขนพองสยองเกล้าเพราะมันเห็นหน้าของกิเลสแล้วไง ถ้าได้เห็นหน้าของกิเลสแล้ว งานมันจะเกิดตรงนี้ งานการวิปัสสนา งานการขุดกิเลสออกจากใจ

สิ่งที่จะขุดกิเลสออกจากใจ เพราะกิเลสนี้มันอาศัยธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องอยู่ อาศัยธาตุขันธ์นี้อยู่แล้วไม่เคยถนอม ไม่เคยเห็นใจสิ่งที่อยู่ที่อาศัยเลย ทำให้หัวใจนี้มีความทุกข์มีความยากไปตลอด อยู่ในหัวใจก็แล้วแต่ แล้วยังทำให้ใจนี้ทุกข์ยาก นั่นน่ะแล้วปัญญาหมุนเข้ามา ปัญญาของเรา พิจารณาตั้งขึ้นมาให้ได้ ตั้งกายขึ้นมาแล้วดูสภาวะความเป็นไป สภาวะความเป็นไปมันจะหลุดมือเราไป มันจะตั้งไว้ไม่ได้เพราะไม่เคยทำ

สิ่งที่ไม่เคยทำนี่มันจะพลัดพรากออกไปจากอำนาจของธรรมตลอดไป มันจะพลัดพราก นั่นน่ะ กิเลสมันขับไส ถ้าทำได้มันเห็นกายแล้วมันจะมีความสุข มีความพอใจ พอสุขเข้ามา เราก็อยู่กับความสุขอันนั้น ถ้ายกขึ้นวิปัสสนาซ้ำไปอีก ยกออกไปถ้าเห็นภาพนั้น พยายามพิจารณาซ้ำไป นั้นคือการพิจารณากาย

การพิจารณากาย พิจารณาที่ว่าสิ่งนี้มันต้องแปรสภาพ สิ่งนี้แปรสภาพออกไป แปรสภาพออกไป กำลังมันพอ มันจะเป็นไตรลักษณ์ไง เห็นไตรลักษณะ เห็นพระไตรลักษณะ คือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา แล้วเห็นจากตาดวงนั้นไง เห็นจากใจของเรา

ใจของเรานี้มันไม่เข้าใจ ใจของเรามันโง่ โง่เพราะกิเลสมันฉลาดกว่าใจ กิเลสมันฉลาดกว่ามันก็ขับเคลื่อนให้ใจนี้ผูกพันไปกับในร่างกายนี้ ยึดมั่นถือมั่นสิ่งนี้ว่าเป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา คิดว่าจะเป็นอยู่อาศัยด้วยกันให้มีความสุขนะ เราเกิดขึ้นมาแล้วกายกับใจควรจะอยู่อาศัยด้วยกัน แล้วรักษากันตลอดไป...มันไม่เป็นไปตามความเป็นจริงหรอก มันต้องเสื่อมสภาพไป มันต้องเจ็บไข้ได้ป่วยโดยธรรมชาติของมัน

สิ่งที่เรารักษาขนาดไหน มันจะไม่เชื่อเรื่องของเราปรารถนาให้เป็นไป นั่นน่ะ สิ่งที่ไม่เป็นไป มันถึงเป็นสิ่งที่พึ่งไม่ได้ สิ่งที่พึ่งไม่ได้มันก็เป็นสิ่งที่ว่าเป็นสิ่งสมมุติใช่ไหม แล้วเราจับต้องสิ่งสมมุติ จับต้องสิ่งที่พึ่งไม่ได้เลย แล้วมันจะเอาความสุขมาจากไหน? มันไม่เป็นความสุข มันเหมือนการหลอกกัน หลอกให้เราตามสิ่งนี้ไปจนกว่าหมดอายุขัย เราก็หมดโอกาส

ถ้าเราย้อนกลับเข้ามา เราวิปัสสนาได้ สิ่งนี้เราวิปัสสนาขึ้นมา มันเป็นปัญญาของเราสอนใจให้ฉลาด ใจมันจะฉลาดขึ้นมาว่าเห็นโทษของกายนี้ เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นถือมั่นเพราะความไม่เข้าใจ นั่นน่ะปัญญามันก็ขุดตลอดไป ขุดตลอดไป ขุดจนกว่าใจนี้จะเข้าใจ ใจนี้เข้าใจเห็นตามความเป็นจริงแล้วมันจะปล่อยสิ่งนี้ออกไป ขาดออกไปจากใจ

ถ้ามันขาดออกไปจากใจ นั้นคือการขุดกิเลสออกไปจากใจส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งในหัวใจนะ ในหัวใจเราขุดออกไป แต่มันมีส่วนว่าเป็นส่วนตื้นๆ เราขุดส่วนตื้นๆ แล้วเราก็ต้องขุดให้มันลึกเข้าไป ลึกเข้าไป เห็นไหม สิ่งที่เราจะขุดลึกเข้าไป มันก็ต้องใช้ธรรมที่เราสร้างสมขึ้นมา

สิ่งที่เป็นธรรมาวุธ อาวุธที่เราจะต่อสู้ประหัตประหารกับกิเลส เราต้องสร้างสมขึ้นมา สิ่งที่สร้างสมขึ้นมา เราสร้างความสงบของเราขึ้นมาอีก สิ่งที่เป็นความสงบเพื่อจะขุดต่อไปไง ขุดกิเลสออกจากใจนี้เป็นงานอันประเสริฐ งานอันประเสริฐที่เราสร้างสมขึ้นมา เราทำของเราได้ พอเราทำของเราได้มันก็เป็นประโยชน์ของใจดวงนั้น มันเป็นเครื่องยืนยัน ยืนยันจากใจดวงนั้น

จากศรัทธาเป็นอจลศรัทธา ศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เราได้ที่พึ่งแล้ว ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่ง เราทำของเราในหัวใจนี้เป็นส่วนหนึ่ง สิ่งนี้เป็นที่พึ่งของใจ ใจมีพยานเป็นเครื่องยืนยันแล้วมันก็พยายามต่อสู้ มีความมุมานะ มีความรื่นเริง มีความอาจหาญในธรรมไง สิ่งที่อาจหาญในธรรม แต่มันก็มีความทุกข์ ทุกข์เพราะว่ากิเลสสิ่งที่เหนือกว่ามันพยายามผลักไส ผลักไสไม่ให้เราเข้าไปต่อสู้กับมัน ผลักไสให้เราอยู่ในความเห็นของเรา

ความเห็นของใจดวงนั้นมันจะหมุนเวียนออกไปติดสิ่งต่างๆ ติดสิ่งที่ว่ามันมีอำนาจเหนือกว่า เห็นไหม มันปลดเปลื้องสิ่งที่หยาบได้จริงอยู่ แต่สิ่งที่ละเอียดกว่ามันก็หลอกลวงไป หลอกลวงไปในสถานะนั้น สถานะเดิม สถานเดิมเพราะมันเผลอไปไง สิ่งที่สติมันไม่สมบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะแต่สติไม่สมบูรณ์เพราะจิตมันเคลื่อนออกไป จิตมันเคลื่อนออกไป กิเลสมันก็เคลื่อนตามจิตนั้นออกมา นั่นน่ะ จับต้องสิ่งนี้ให้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ มันก็จะเป็นความสงบเข้ามา สงบเข้าไปเพื่อจะจับต้องสิ่งนี้

ถ้าจับต้องสิ่งนี้ไม่ได้ มันเป็นความคิดออกไป เป็นความคิดไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งนั้น “น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น” ทำอย่างนี้ทำให้ฟุ้งซ่าน ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นี่แหละ แต่ธรรมนี้ทำให้จิตหมุนออกไป หมุนออกไปสิ่งที่รับรู้ต่างๆ แล้วก็เคลื่อนออกไป เคลื่อนออกไป มันส่งออกไง จิตนี้ส่งออก จิตนี้ต้องทำความสงบเข้ามาของใจ

พอใจสงบเข้ามา มันจับต้องเรื่องสติปัฏฐาน ๔ ได้แล้วมันถึงจะเป็นงาน ถ้าจับสติปัฏฐาน ๔ ไม่ได้ มันไม่เป็นงาน มันไม่มีเป้าหมายไง เหมือนนักกีฬา ถ้าอยู่ในเวที อยู่ในสนามกีฬา เขาแข่งกีฬากัน ตั้งแต่เริ่มเวลาแข่งขันนั้นเป็นเวลาของเขา แต่อยู่นอกสนามนั้นมันไม่ใช่เวลาแข่งขันใช่ไหม มันเป็นเวลาที่ว่าเป็นเวลานอกจากหมดเวลาการแข่งขัน อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราพยายามจับกาย เวทนา จิต ธรรมได้ เราก็จะหาสนาม หาชัยภูมิในการต่อสู้กับกิเลสได้ ถ้าเราจับจิตไม่ได้ มันก็เหมือนกับเราฝึกซ้อม เราฝึกซ้อมกีฬาของเราอยู่ เราเล่นกีฬาสิ่งใดก็แล้วแต่ เราฝึกซ้อมอยู่ มันไม่ใช่การแข่งขัน

นี้เหมือนกัน เราพยายามสะสมใจของเราขึ้นมา สะสมขึ้นมาเพื่อจะให้มีกำลังขึ้นมาให้เป็นนักกีฬาขึ้นมาให้ได้ แล้วมีโอกาสได้เข้าไปแข่งขัน ถ้ามีโอกาสได้ไปแข่งขัน คือจับต้องสิ่งที่เป็นกายเข้ามา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันลอกได้แล้วลอกได้อีก จะลอกได้ขนาดไหน มันยิ่งลอกเข้าไปใจมันยิ่งหดเข้ามา สิ่งที่มันหดเข้ามา เห็นไหม กายนอกเป็นกายนอก กายในเป็นกายใน กายในกายเป็นกายในกาย กายของจิตเป็นกายของจิต พิจารณากายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทั้งพิจารณากายแล้วมันปล่อยวางก็จริงอยู่ กายนี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่กาย รู้ตามความเป็นจริง แต่มันก็ติดในอุปาทาน เห็นไหม สิ่งที่เป็นอุปาทานในเรื่องของใจ ใจนี้ติดอุปาทานในเรื่องของใจ ถ้าเราจับกายได้ พิจารณาซ้ำไปนี่ มันจะเริ่มแปรสภาพ จับกายเป็นคืนสู่สภาวะเดิมของเขา น้ำต้องกลับกลายเป็นน้ำ ดินต้องกลับกลายเป็นดิน สิ่งที่กลับคืนสภาวะเขา แต่ทำไมมาเป็นมนุษย์ได้ล่ะ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทำไมมาเป็นเรา ธาตุทำไมมาเป็นเราได้? เป็นเราได้เพราะมันเป็นเรื่องของวัฏวน เป็นเรื่องของกรรม

สิ่งที่กรรมนี้สะสมให้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ในการเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม จากไข่ของแม่แค่ฟองเดียวกับเชื้อของพ่อที่ผสมกัน แล้วออกมาเป็นเราได้ พอเป็นเราได้ มันเจริญเติบโตมาด้วยสิ่งใด แล้วมันจะต้องตายไปข้างหน้านี่มันเป็นเพราะสิ่งใด แล้วมันเป็นไปสภาวะเป็นความเป็นจริงนั้นไหม

เวลาคนตายไปแล้ว น้ำก็เป็นน้ำ ดินก็เป็นดิน ลมก็เป็นลม ไฟก็เป็นไฟ แต่เราไม่เห็นตามความเป็นจริง เราไม่เห็นตามสภาวธรรม เราคาดเราหมาย พอเราคาดเราหมาย มันก็ไม่สมกับความเป็นจริง ไม่สมกับความจริงมันก็วนออกไป “มันจะเป็นไปได้ไหมหนอ มันจะเป็นไปได้ไหมหนอ” นี่ความลังเลสงสัย

เราตัดวิจิกิจฉาออกไปได้แล้วจากการที่เราพิจารณากายซ้ำขาดออกมา นั้นไม่สงสัยในธรรม แต่กิเลสมันพาสงสัยในธรรม ในการจะก้าวเดินต่อไป สิ่งที่ก้าวเดินต่อไป นี่กิเลสพาสงสัย เราถึงไม่สามารถทะลุทะลวงขุดกิเลสออกไปจากใจได้หมดสิ้นไง กิเลสอย่างละเอียดอยู่มันก็ปกป้องตัวมันเองอยู่ในหัวใจนั้น นั่นน่ะ สิ่งนี้ที่ว่าสงสัย สงสัยในธรรมะที่ว่าสูงกว่านั้น แต่สิ่งที่เข้าใจแล้วก็เป็นสิ่งที่เข้าใจแล้วอยู่ในหัวใจของเรา แต่สิ่งที่สูงกว่า เราจะต่อสู้กับสิ่งนั้นต่างหาก เราถึงต้องพยายามย้อนกลับมา ย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมาให้ใจมันสงบให้ได้ ย้อนกลับมาความสงบของใจ ทำความสงบของใจ

ต้องมีความสงบของใจตลอดไป ถ้ามีความสงบของใจขึ้นมานั้น มันจะเป็นมรรคตลอด ถ้าไม่มีความสงบของใจ หมุนออกไปขนาดไหน มันไม่เป็นมรรค ๑ มันไม่มีเวทีที่จะต่อสู้ ๑ มันไม่มีสนามขุดกิเลสออกจากใจ ถ้าไม่มีสนามขุดแล้ว เราก็ขุดพื้นที่ที่ว่าไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไม่ใช่หน้าที่ของใจดวงนั้น

กิเลสมันอยู่ที่ใจ ใจอยู่ในร่างกาย ขุดกิเลสก็ขุดกับกายกับใจนี้ แต่ต้องขุดในกายกับใจของเรา ไม่ใช่ไปขุดกายกับใจของคนอื่นที่หมุนออกไปข้างนอก สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่คาดหมาย สิ่งที่เป็นเป้าหมาย เป็นการเทียบเคียง

ความเทียบเคียงในปัญญานั้น เวลาเทียบเคียงนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่ในเมื่อเรายังจับต้องสิ่งนี้ไม่ได้ มันจะเทียบเคียงกับสิ่งใด? ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาจนจับกายได้ จับจิตได้ นั้นค่อยวิปัสสนา เป็นวิปัสสนาออกไป นั่นน่ะเป็นงานของเรา เป็นเครื่องมือของเราที่จะขุดกิเลสออกจากใจ

ถ้าขุดกิเลสออกไปจากใจ ใช้ปัญญาอย่างเดียว ปัญญาพิจารณาแยกแยะออกไป แต่ปัญญานี้ต้องมีสัมมาสมาธิหนุนหลังตลอดนะ ถ้าปัญญานี้ไม่มีสมาธิหนุนหลังอยู่นั้น มันจะทำให้กำลังไม่มี กำลังไม่มีแล้วจะเป็นสัญญา สิ่งที่เป็นสัญญานี้เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลกคือเรื่องของกิเลส

กิเลสมีส่วนไง ถ้ากิเลสมีส่วนนั้น กิเลสก็ทำให้งานนี้ไม่มัชฌิมาปฏิปทา สิ่งที่ไม่มัชฌิมาปฏิปทา เห็นไหม ไม่สมควรแก่งาน สิ่งที่ไม่สมควร ถ้าไม่มัชฌิมาไม่สมควรแล้วมันจะขุดกิเลสได้ไหม เพราะกิเลส สิ่งนี้กิเลสพาใช้ เราถึงต้องทำความสงบ เราถึงต้องใช้ปัญญาในการใคร่ครวญ ต้องฉลาดในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราไม่ฉลาดในการประพฤติปฏิบัติ เราจะเป็นขี้ข้าของกิเลสให้กิเลสข่มขี่แล้วเราจะต้องเป็นขี้ข้าของเขา...ทำ ทำด้วยความมุมานะ ทำด้วยความอุตสาหะของเรา แล้วอุตสาหะของเราก็ไปบูชากิเลสซะ ไม่บูชาธรรม ถ้าบูชาธรรมนี้ ธรรมจะเจริญงอกงามขึ้นมา ถ้าธรรมเจริญงอกงามขึ้นมาในหัวใจ ปัญญามันเกิดขึ้นมา เราบูชาธรรม เราต้องพยายาม

ธรรม เห็นไหม ธรรมรส รสของธรรมจืดสนิท รสของกิเลสนี้เป็นรสชาติเผ็ดร้อน สิ่งที่เผ็ดร้อนมันเข้ากับความพอใจ ใจมันชอบรสชาติที่เผ็ดร้อน มันจะชอบเรื่องของกิเลส แล้วปัญญาจะหมุนออกไปทางนั้น สิ่งนั้นถ้าหมุนออกไปแล้วมันจะพาออกไปข้างนอก เราต้องย้อนกลับเข้ามา

ถ้าบูชาธรรม เห็นไหม ธรรมรสชาติจืดสนิท เป็นรสของมีคุณค่าทางอาหารในร่างกายนั้น สิ่งที่หัวใจนั้นได้ดื่มกินธรรมสิ่งนี้ มันจะมีความสงบร่มเย็นขึ้นมาในหัวใจ เราถึงต้องใช้คำบริกรรม คำบริกรรมนี้ต้องแนบไปกับใจตลอด ถ้ามันฟุ้งซ่านออกไป มันต้องการงานมาก กิเลสมันจะหลอกไงว่า “สิ่งนี้เป็นงาน ปัญญาของเราจะชำระกิเลส เราจะขุดกิเลสออกจากใจให้ได้ เราต้องขุดด้วยปัญญาอันนี้ไง”...ขุดไปเถิด ขุดจนฟั่นเฟือน ขุดจนไม่สามารถเข้าใจได้ มันเป็นเรื่องของกิเลสพาออกไป นั้นคือกิเลสหลอก...ย้อนกลับ ย้อนกลับทำความสงบของเราเข้ามา ทำความสงบของเราเข้ามา มันจะรู้ตัวหรอก รู้ตัวต่อเมื่อทำแล้วไม่สมความปรารถนา ทำแล้วมีแต่ความเร่าร้อน เร่าร้อนตลอดไป

ประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีความสุข มีความร่มเย็นสิ สิ่งที่ร่มเย็นเกิดขึ้นมาจากไหน? สิ่งที่ร่มเย็นเกิดขึ้นมาจากใจที่สงบ สิ่งที่ร่มเย็นเกิดขึ้นมาจากผลของธรรม รสจืดสนิทในหัวใจนั้นมีคุณธรรมในหัวใจ สิ่งที่เป็นธรรมในหัวใจแล้วมันจะมีความสงบ...ย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ปล่อยวางสิ่งนั้นให้ได้ ปล่อยวางเรื่องของใจที่มันคิดโดยธรรมชาติของมัน แล้วกำหนดพุทโธ มันปล่อยวางหมด แล้วมันจะสงบ มันจะร่มเย็นของมัน

ร่มเย็นของมันเพราะอำนาจของสติ อำนาจของธรรม อำนาจของธรรมควบคุมแล้วมันจะสงบได้ พอสงบได้ นี่กำลังเกิด เกิดขึ้นมาก็พิจารณาย้อนกลับ จับขึ้นมาแล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญ ใคร่ครวญ ดูสิ่งนี้ไป สิ่งนี้เป็นธรรมชาติของเขา ต้องแปรสภาพโดยเด็ดขาด ต้องแปรสภาพไปโดยธรรมชาติของเขาโดยเด็ดขาด แต่! แต่มันแปรสภาพโดยสถานะที่ละเอียดกว่าไง

สิ่งที่หยาบเราเห็นด้วยกำลังของเราส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ละเอียดกว่านี้ มันต้องใช้กำลังที่เหนือกว่า มันแปรสภาพ แต่มันแปรสภาพด้วยความละเอียดอ่อนของมัน มันละเอียดอ่อนขนาดไหนมันก็แปรสภาพออกไป นั่นน่ะ ถ้าเราใคร่ครวญสิ่งนี้ พยายามพิจารณาสิ่งนี้ มันเห็นสิ่งนี้แล้วมันจะปล่อยวางเข้ามา ความปล่อยวางขึ้นมานั้น นั่นน่ะธรรมมันเริ่มเจริญงอกงามขึ้นมาในหัวใจ ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามาจนถึงที่สุด ถึงที่สุดแล้วมันต้องชำระขาดออกไปจากใจ

ใจกับกายนี้จะแยกออกจากกันโดยสมบูรณ์ โดยอำนาจของธรรม โดยการขุดออกไปจากใจ นี่ขุดให้กายนี้หลุดออกไปจากใจโดยสถานะที่ว่าไม่กลับมาต่อกันได้อีกเลย ต่างคนต่างอยู่ตลอดไป เพราะมันสมุจเฉทปหานขาดออกไปจากใจแล้ว นั่นน่ะการขุดต้องขุดอย่างนี้ ขุดด้วยปัญญาที่มีสัมมาสมาธิพร้อมไป แล้วมันจะมีความสุขมาก

สิ่งที่มีความสุข เห็นไหม เวลาทุกข์ก็ทุกข์แสนเข็ญในหัวใจ การเกิดการตายนี้ก็เป็นส่วนหนึ่ง การประพฤติปฏิบัตินี้ก็ทุ่มทั้งชีวิตส่วนหนึ่ง เอาชีวิตนี้เข้าแลก แลกกับผลของเรา แลกกับผลของการประพฤติปฏิบัติมาเพื่อจะให้พ้นนะ นี่เอาชีวิตนี้เข้าแลก แลกแล้วชีวิตนี้จะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ จะพ้นจากอำนาจที่ควบคุมใจของเรา

อำนาจที่ควบคุมใจ มันควบคุมให้ใจนี้ไปเกิดไปตายโดยกระแสของกรรม กรรมนี้จะควบคุมไป ชีวิตนี้ก็ต้องหมุนไปตามแต่อำนาจของกรรม กับชีวิตที่ประเสริฐที่จะพ้นออกมาจากกิเลส มันมีสิ่งที่มีคุณค่าที่เราควรจะภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติ มันถึงมีกำลังใจขึ้นมาไง กำลังใจมันเกิดแล้วมันก็สลายตัวไป มันเกิดแล้วมันก็อ่อนไปเป็นครั้งเป็นคราว

สติก็เหมือนกัน ธรรมเกิดดับ เกิดดับในหัวใจ มันไม่เกิดแล้วทรงตัวตลอดไป แต่กิเลสมันมีอยู่ตลอดไป กิเลสในหัวใจมันฝังใจแล้วมันมีอยู่แล้วมันต้องมีอยู่ อำนาจของธรรมเหนือกว่าแล้วมันก็จะสงบตัวเงียบอยู่แค่นั้นเอง เพียงแต่หลบตัวเพราะธรรมมีอำนาจเหนือกว่า

แต่พอธรรมเสื่อม พอธรรมไม่มีอำนาจเหนือกว่า มันก็ต้องออกหาเหยื่อโดยธรรมชาติของเขา ออกหาเหยื่อหาอาหารของเขา ถ้ามันออก กิเลสออกหาเหยื่อนี้ ออกหาอาหารของเขา ก็สร้างความทุกข์ให้หัวใจ เพราะมันต้องการในสิ่งที่ว่ามันต้องการของมันตามธรรมชาติของมัน แต่สิ่งที่มันต้องการนั้นมันก็ต้องไม่สมกับธรรมไง

ธรรมนี้ต้องการความสงบของใจ ต้องการความชนะของใจ ต้องสมุจเฉทปหาน ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญของมันขึ้นมา นั้นเป็นอำนาจ เป็นเรื่องของธรรม แต่เรื่องของกิเลสนั้นเป็นความมักง่าย เป็นความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นความทำให้ใจพองขึ้นมา เห็นไหม มันเป็นเรื่องฝ่ายตรงข้าม กิเลสกับธรรมนี้เป็นข้าศึกต่อกัน เป็นสิ่งที่ตรงข้าม เป็นการคัดง้างกันมาตลอดเวลา

แล้วถ้าธรรมเราเจริญขึ้นมา เราประมาทขึ้นไป เราเผลอไป มันอยู่ในหัวใจนั้นน่ะ มันก็ทำให้เราเชื่อมัน แล้วไปกับสิ่งนั้น ติดสิ่งนั้นไป มันจะมีความว่างขนาดไหน กิเลสอย่างละเอียดมันต้องทำให้ใจติดพันไป ถ้าติดพันไป มันจะทำให้เราติดพันกับโลกเขาไป สิ่งที่ติดพันกับโลก มันก็ยังอยู่ในโลก ใจนี้ยังต้องเกิดต้องตายตามกระแสของโลก ทั้งๆ ที่ว่ามันมีธรรมอยู่ในหัวใจนี้แล้ว แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราไม่ประมาทขึ้นมา เราต้องพยายามค้นคว้าไง

การหา การค้นคว้าหาสนามของนักกีฬา อันนี้ยิ่งละเอียดเข้าไปใหญ่ การหาต้องหายากขึ้นไป มันก็ต้องใช้กำลังของความละเอียดอ่อนเข้ามา ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ต้องใช้ความวิริยอุตสาหะขึ้นมา สิ่งนั้นจะเป็นงานขึ้นมา สิ่งที่เป็นงาน เห็นไหม งานของเรา งานในการชำระกิเลส มันต้องพยายามค้นคว้าจากภายใน ปัญญาเรามันส่งเสริมของเราขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

มันละเอียดอ่อนมากนะ จากปัญญาภายนอก จากโลกียปัญญา สิ่งที่เป็นโลกียปัญญา เราปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นภาวนามยปัญญา แต่ภาวนามยปัญญาขึ้นมามันก็เป็นมรรค ๔ ผล ๔ มรรคขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๓ ขั้นที่ ๔ นี่ความละเอียดอ่อนของมัน มันจะละเอียดอ่อนของมัน ยกระดับของมันขึ้นไป

ถ้าใจยกระดับขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ เป็นการงานของเราขึ้นมา มันจะย้อนกลับเข้ามา ความเพียรจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับเข้ามา ทวนกระแสตลอด ทวนกระแสแล้วว่าปลดเปลื้อง ปลดเรื่องของความผูกมัดของใจ ถ้าสิ่งนี้ผูกมัด ความพยายามของใจ มันขับไสให้เราจับต้องสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ในเมื่อใจมันปลดเปลื้องสิ่งนี้ออกไป เหมือนแหวกจอกแหนไง แหวกจอกแหนออกไปมันต้องเห็นน้ำ อันนี้แหย่การปกคลุมของกิเลสในหัวใจขึ้นมา มันต้องจับต้องตัวกิเลสได้ กิเลสมันตัวพยายามพลิกแพลงไม่ให้จับต้องมันได้

สิ่งที่จับต้องสิ่งนี้ได้ ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้ การจับต้องได้จะเป็นอสุภะขึ้นมา กายนี้ ทั้งๆ ที่ว่ากายกับจิตแยกออกจากกัน แต่จิตนี้มันยังเหนี่ยวรั้งเรื่องของร่างกายไว้ จนจับกายนี้เป็นความยึดมั่น เป็นนามธรรมของใจนั้น ถ้าเราพิจารณาเข้าไปนี่มันจะเป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะเพราะมันเป็นสิ่งที่ว่าธรรมชาติของเขา เป็นอสุภะโดยธรรมชาติของเขา เพราะมันต้องแปรสภาพ มันต้องเปื่อยเน่าไป มันต้องตายไป สภาวะของร่างกายนี้ไม่คงที่แน่นอน สิ่งที่คงที่อยู่นี้เพราะเรื่องของกรรม เรื่องของกาลเวลารักษาไว้ ในเมื่อเรายังไม่ตายมันรักษาไว้

ถ้าจับต้องสิ่งนี้ได้เป็นอสุภะ สิ่งที่เป็นอสุภะนะ ถ้าพิจารณาไป มันเห็นอสุภะขึ้นมา มันก็ต้องปล่อยวางอสุภะนั้น แต่มันไม่เห็นอสุภะสิ เพราะอสุภะมันต่อต้านไง กิเลสมันต่อต้าน มันจะเห็นเป็นคุณงามความดี เห็นเป็นความพอใจ ใจจะเชื่อกับสิ่งนี้แล้วโดนสิ่งนี้หลอกไป “ความหลอก” เห็นไหม กิเลสมันพลิกแพลง เราจะขุดกิเลสออกจากใจ กิเลสมันจะขุดเราไม่ให้เราประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันจะขุดเราให้มรรคเราไม่สมควร ให้มรรคเราไม่สมดุลกัน มันจะพลิกแพลง มันต่อต้านตลอดไป อำนาจของกิเลสมันอยู่ในหัวใจของเรา มันอยู่สิ่งที่ว่ามันอยู่ในใจของเรา มันเชื่อง่ายไง

เราคิดขึ้นมา เราเชื่อเราตลอดนะ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาก็เกิดจากความคิดของเราขึ้นมา มันอยู่ใกล้เคียงกัน ใกล้เคียงกับหัวใจ มันติดพันกันไป แล้วมันคิดขึ้นมา มันพลิกแพลงของมันขึ้นมา พลิกแพลงให้เป็นฝ่ายท้อถอยว่า “สิ่งนี้สมควรแล้ว สมควรแล้ว”...มันจะสมควรได้อย่างไรในเมื่อมันไม่สมุจเฉทปหาน มันสมุจเฉทปหานมันต้องชำระขาดออกไปจากใจ มันไม่สมควรหรอก ถ้าไม่สมควรน่ะ มันโดนหลอกไป เราไม่เข้าใจ เราก็ล้มลุกคลุกคลานไป ล้มลุกคลุกคลานไปกับความเชื่อนั้น ความเชื่อกิเลสมันหลอกแล้วเราก็ตามกิเลสไป กิเลสจะพาให้เราพ้นออกไปจากตำแหน่งหน้าที่การงานของเรา ให้ไปทำงานอย่างอื่นแทนไง ให้ผลักไสออกไปจากจุดของมัน

จุดของมันคืออยู่ที่ใจ ต้องย้อนกลับมาจุดของมันคืออยู่ที่ใจ นั่นน่ะ สิ่งที่เห็นอสุภะ ใครเป็นคนเห็น? จิตนี้เป็นคนเห็นใช่ไหม ใจเห็นอสุภะมันถึงจะเห็นอสุภะ แล้วอสุภะนั้นมันถึงไปเป็นความเศร้าหมอง เป็นความไม่สมควรที่จะไปยึดมั่นถือมั่นมัน มันต้องปล่อยวาง แต่มันปล่อยวางไม่ได้เพราะอำนาจของใจไม่พอ อำนาจของสัมมาสมาธิไม่พอ ต้องย้อนกลับมา พยายามสะสมอำนาจของสัมมาสมาธิให้ได้ให้มาก แล้วมันจะหลอกลวง มันจะพลิกแพลงขนาดไหน ให้มันพลิกแพลงไป แล้วปัญญาไล่ต้อนมันตลอดไป สิ่งนี้เป็นการต่อสู้กัน นี่ปัญญาขุด ขุดอย่างนี้

มันจะแสดงตัวขนาดไหนให้มันแสดงมา ปัญญาจะใคร่ครวญ ปัญญาจะพิจารณาต่อไป สิ่งนั้นพิจารณา พิจารณาแล้วปัญญามีอำนาจเหนือกว่า เหนือกว่าสิ่งที่เล่ห์กลขนาดไหน มันจะสร้างกลมายามาขนาดไหน ปัญญามันต้องตามทัน ตามทัน ตามทัน เห็นไหม พอตามทัน กิเลสมันต้องอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง นี่ปัญญามันต้องใคร่ครวญ ปัญญาอันละเอียด สิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งในหัวใจนะ เกิดขึ้นมาจากการประพฤติปฏิบัติของเรา เกิดขึ้นมาจากใจดวงนั้น จะมีเฉพาะในหัวใจเท่านั้น จะมีเฉพาะในวงปฏิบัติของใจผู้ที่ยกขึ้นมาเท่านั้น

ถ้าปัญญาของผู้อื่น มันเป็นปัญญาของผู้อื่น มันแก้กิเลสของคนอื่นไม่ได้ มันต้องเป็นปัญญาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม มรรคมันเกิด เกิดอย่างนี้ไง เกิดขึ้นมาจากในหัวใจ มรรคอันละเอียดคือปัญญาอันละเอียด ปัญญาอันละเอียดที่มีสัมมาสมาธิ นี่สัมมาสมาธิ งานชอบ เพียรชอบ สิ่งที่ต้องเป็นชอบหมด สิ่งที่เป็นชอบมันก็เป็นองค์ของมรรค องค์ของมรรคหมุนออกไป หมุนออกไป คือปัญญาหมุนออกไป หมุนออกไปเพื่อจะไล่ต้อนความปลิ้นปล้อนของอสุภะ อสุภังไง สิ่งที่เป็นอสุภะ อสุภังนี้เราเห็นโดยสภาวธรรม ถ้าเห็นเป็นอสุภะนี้ นั่นน่ะธรรมมันเกิด เกิดเพราะปัญญามันพอ

ถ้ามันไม่พอ มันเห็นเป็นความข้องใจ เห็นเป็นความพอใจ ความพอใจในสิ่งนั้นมันหมุนออกไป มันเข้าใจกับสิ่งนั้น มันก็ตามสิ่งนั้นไป แต่ถ้าปัญญามันไม่ทัน ถ้าปัญญามันไม่ทัน มันจะฉุดกระชากลากไปแน่นอน แน่นอนว่ากิเลสมันต้องทำอย่างนั้น มันปลิ้นปล้อนตลอดไป มันต้องทำให้เราพลัดพราก ทำให้เราหลุดออกไป

ผลงานของเราจะไม่สมความมุ่งมั่นของเรา ผลงานของเราคือการทำลายมันไง จะทำลายมันได้มันต้องมีสิ่งที่เหนือกว่า มันต้องฉลาดกว่าความปลิ้นปล้อนของใจเรา มันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวงเรากินมาตลอดขนาดไหน มันปลิ้นปล้อนใจนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมันมาขนาดไหน แล้วเราจะใช้ปัญญาอย่างที่ว่าเราเคยใช้มาก็ไม่ได้

ปัญญาอย่างที่เราเคยใช้มามันเป็นสัญญา เป็นสัญญานี่มันรู้ทัน มันรู้ทันมันก็โอบกินเสียก่อน มันทำให้สิ่งนั้นหมุนออกไป แล้วมันไปดักสร้างสถานการณ์ให้เราเห็นตามความเป็นจริงอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องหมุนตามไป พอปล่อยไปถึงนั้น มันก็สภาวะอย่างนั้น เห็นไหม มันเป็นการสร้างภาพ กิเลสสร้างภาพให้เราหลงเชื่อ แล้วเราก็หลงเชื่อไป

ถ้าหลงเชื่อไป ความเพียรเราสร้างสมขึ้นมา แล้วเราพยายามวิปัสสนาของเราขึ้นมา มันก็ให้กิเลสมันเอาไปกินรอบหนึ่ง เอาไปกินรอบหนึ่ง เราก็ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ นี่ทำอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนี้จนกว่ากิเลสมันจะอ่อนตัวลง อ่อนตัวลง ปัญญามันเหนือขึ้นมา เหนือขึ้นมา พิจารณาเข้ามา มันจะปล่อยวาง เข้าใจแล้ว อสุภะขึ้นมาแล้ว มันเห็นแล้วมันสลดสังเวช มันจะสะเทือนหัวใจมาก มันจะปล่อย ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามาจนถึงที่สุด ถึงที่สุดแล้วมันจะต้องขาดออกไป

สิ่งที่ขาดออกไปจากใจ มันจะขาดโดยสมุจเฉทปหานเลย ขาดออกไปจากใจ นี่ขุดกิเลสออกไปจากใจ ขุดกามราคะออกไปจากใจ เหลือแต่ใจล้วนๆ ใจดวงนั้นมันจะติดเศษส่วนในเรื่องของอสุภะ อสุภัง เพราะสิ่งนี้มันเกาะเกี่ยวกันอยู่ มันเป็นการฝึกซ้อมใจ พิจารณาซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป ซ้ำเรื่องของกามราคะนี่แหละ ซ้ำเรื่องของอสุภะ อสุภัง

สิ่งที่เป็นอสุภะ อสุภัง มันปล่อยวางมาแล้ว มันขาดออกไปจากใจ แต่มันเหลือเศษเหลือเชื้ออยู่ มันฝึกซ้อมได้ มันเป็นเงาที่ฝึกซ้อมได้ ฝึกซ้อมคือพยายามใคร่ครวญอย่างนั้น นั้นคือปัญญาใคร่ครวญตลอดไป เพื่อกรองให้ใจนี้ออกไปว่างเวิ้งว้างตลอดไป สิ่งที่เวิ้งว้างนั้นเป็นเรื่องของความเวิ้งว้าง มันปล่อยใจออกไป มันจะมีความสุขอย่างมหาศาล สุขจากการเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินี้เป็นสุขที่ทุกคนไม่เคยประสบ ผู้ใดมีภาวนามยปัญญาขึ้นมา เห็นตามความเป็นจริง มันขุดกิเลสออกไปจากใจของดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีความสุข สุขที่ในโลกนี้ไม่มี ในกามโลก ใน ๓ โลกธาตุนี้ไม่มี สิ่งนี้มีเฉพาะใจดวงนี้ดวงเดียว นี่ปัจจัตตัง

สิ่งที่เป็นปัจจัตตังต้องเกิดจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วเราก็ฝึกซ้อมเข้าไป ฝึกซ้อมเข้ามา จนมันปล่อยวาง ปล่อยวางเข้าไป มันจะปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป นั้นน่ะถ้าคนหลงจะหลงตรงนี้ไง หลงตรงที่ว่าเราฝึกซ้อมเข้าไปแล้วมันจะปล่อยวางเข้ามาอีก ถ้าปล่อยวางเข้ามาอีก เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นผล คือการเราขุดกิเลสออกไปจากใจ

เราขุดกิเลสออกไปจากใจ แต่หัวใจมันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นนามธรรม แล้วเราจะพลิกคว่ำมันอย่างไร สิ่งที่จะขุดต้องขุดมันทั้งหมด ต้องปหานมันทั้งหมด ปหานทั้งสิ่งที่ว่าเราขุดออกไปแล้วมันขุดออกไปจากใจ ขุดกิเลสออกไป แล้วตัวของกิเลสเอง ตัวอวิชชา มันกับใจนี่เป็นสิ่งที่เสมอกัน จะขุดอย่างไร? นี่จับต้องสิ่งนี้ได้ ใช้ปัญญาเข้าไปใคร่ครวญ ถ้าจับสิ่งนี้ใคร่ครวญได้ สิ่งนี้จะเป็นการพลิกออกไป พลิกเรื่องของหัวใจ เห็นไหม ใจมันพลิกออกไป มันพ้นออกไปจากกิเลสได้ เพราะว่าพ้นออกไปจากกิเลส มันจะไม่พลิกแพลงอีก

สิ่งนี้จะพลิกแพลงให้หัวใจเศร้าหมองอีกไม่ได้เลย เพราะมันพ้นออกไปจากกิเลส พ้นออกไปจากสิ่งที่อำนาจของพญามาร เห็นไหม พญามารจะไม่เห็น จะตามใจดวงนี้ไม่ทัน ใจของผู้ที่อยู่ในวัฏสงสารนี้ พญามารนี้เป็นเจ้าอำนาจ พญามารนี้มีอำนาจเหนือกว่า แล้วต้องควบคุมใจดวงนี้ให้ตกอยู่ในวัฏวน สิ่งที่ตกอยู่ในวัฏวน วนเวียนตายไปในวัฏฏะ เวียนตายเวียนเกิด

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ได้ชั้นหนึ่งขึ้นมาก็เวียนตายอีก ๗ ชาติ เห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติ พอปฏิบัติเข้าไป ภพชาติจะสั้นเข้า สั้นเข้า จนตัดกามราคะออกไป ภพชาติของกามภพไม่เกิด จนพลิกเข้าไปถึงที่สุดแล้วตัดสิ่งที่อยู่ของพญามาร พญามารนี้อยู่ในเรือนยอดไง อยู่ในตรงศูนย์กลางของจิตนั้น จิตนั้นเป็นตอเฉยๆ ไม่ใช่ขันธ์

สิ่งที่เป็นขันธ์ เป็นอารมณ์กระทบนี้ มันเป็นเรื่องของขันธ์กับจิตกระทบกัน เราจะใช้ปัญญาใคร่ครวญได้ ปัญญาของเราจะแยกแยะเข้าไปในขันธ์ ๕ ปล่อยวางขันธ์เข้ามา ปล่อยวางเข้ามา สิ่งที่ปล่อยวาง จิตนี้ปล่อยวางขันธ์มันก็โล่งแจ้ง โล่งว่างตลอดไป โล่งว่างแล้วแจ้งออกมาตลอด สิ่งที่เข้าใจมันจะปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเพราะอำนาจของสัมมาสมาธิ ปล่อยวางเพราะอำนาจของปัญญา

การใคร่ครวญของปัญญานี้ชำระกิเลสออกมาเป็นชั้นเป็นตอน นี่ปล่อยธาตุก็ได้ ปล่อยขันธ์ก็ได้ ปล่อยขันธ์ขนาดไหนแล้ว ถึงสุดท้ายแล้วจิตมันต้องเป็นตัวของจิตล้วนๆ ไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ปัจจยาการของมันหมุนในตัวของมันเอง ในตัวของมัน มันจะหมุนของมันออกไป แล้วออกมาแล้วมันถึงออกมาเข้ากับขันธ์ ๕

สิ่งที่เข้ากับขันธ์ ๕ ก็ออกไปแสวงหาเหยื่อ สิ่งที่แสวงหาเหยื่อก็หาสิ่งนี้ นี่พญามารอยู่ตรงนี้แล้วพญามารควบคุมความคิด ควบคุมทุกอย่างให้ใจมันเป็นไปตามธรรมชาติของเขา ขันธ์นี้เป็นขันธ์เฉยๆ นะ พญามารมีอำนาจเหนือกว่าแล้วเป็นกิเลสแล้ว พอเข้าไปในขันธ์แล้ว ขันธ์นั้นถึงมีกิเลสเข้าไป มันถึงได้เป็นทุกข์เป็นยากไง ขันธ์นั้นถึงต้องตกอยู่ในอำนาจของพญามาร แล้วต้องทำตามหน้าที่ ทำตามที่พญามารต้องการ สิ่งที่พญามารต้องการ เขาควบคุมชีวิตนี้ไง ควบคุมจิตด้วย ควบคุมความคิด ควบคุมสิ่งต่างๆ ด้วย ควบคุมให้เราหมุนเวียนไปในวัฏฏะ หมุนไปในวัฏฏะ

แล้วเราทวนกระแสกลับเข้ามา สิ่งที่ทวนกระแสกลับเข้ามานี้คือธรรม ธรรมจากใจของเรา ใจของเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมานี่สมควรแก่ธรรม ถ้าใจปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนั้นจะเกิดขึ้นจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้น เห็นไหม ภวาสวะ ถ้าภวาสวะนี่ภพของใจ สิ่งที่จะรับเรื่องของสิ่งที่เป็นอาสวะในหัวใจ มันมีสิ่งที่นั้น...

แต่เวลาธรรมทำลายภวาสวะอันนี้ ทำลายภพ ทำลายจุดของอวิชชา ทำลายของสิ่งที่พญามารอยู่ มันไม่มีภวาสวะ สิ่งที่ไม่มีภวาสวะ แล้วธรรมทรงตัวอยู่ได้อย่างไร ไม่มีสิ่งใดรองรับธรรมนั้น ธรรมนั้นจะเป็นตัวของมันเอง ถึงเป็น “เอโก ธัมโม” สิ่งที่เป็นเอก เป็นหนึ่งเดียวในหัวใจนั้น หัวใจนั้นจะเป็นหนึ่งเดียว จะไม่มีสอง จะไม่มีการแบ่งแยก ไม่มีการใคร่ครวญในต่างๆ มันเป็นธรรมชาติของมัน ร่มเย็นเป็นสุขในใจดวงนั้นนะ

ผู้ที่ขุดกิเลสออกจากใจได้ทั้งหมดแล้ว จะมีความร่มเย็นกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะไม่สงสัยในเรื่องของวัฏฏะที่จะหมุนเวียนไป สิ่งที่วัฏฏะหมุนเวียนไป จะลังเลสงสัยต่อเมื่อเรามีกิเลสในหัวใจ มีกิเลสในหัวใจนี่กิเลสมันปิดบังตา ถ้าปิดบังตา จะมืดบอดหมด สิ่งที่มืดบอดมันก็หมุนไปตามวัฏฏะ หมุนเวียนไปตามวัฏฏะ แล้วเราทำให้ตานี้สว่างขึ้นมา สว่างขึ้นมาจากอำนาจของธรรม

สิ่งที่มีธรรม เห็นไหม ภาวนามยปัญญา ถ้าปัญญาใคร่ครวญน่ะ ใคร่ครวญเห็นหน้าของกิเลส ถ้าเห็นหน้าของกิเลส ชำระกิเลสเข้าไป ความสว่างกระจ่างแจ้งในหัวใจ ความมืดบอด มืดเพราะไม่รู้แล้วก็หมุนเวียนไปตามกระแสของโลก โลกมีอำนาจมากกว่าก็ฉุดกระชากให้ไปตามอำนาจของโลก ถ้าธรรมมีอำนาจเหนือกว่า อำนาจของธรรมก็ฉุดกระชากกลับมาให้เป็นธรรม

สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติจนปัญญามันเกิดขึ้น แสงสว่างของปัญญาส่องสว่างเข้าไปในหัวใจ ความมืดบอดของอวิชชา ความมืดบอดของพญามาร ความมืดบอดของภวาสวะ ของภพที่อยู่ของใจ จิตที่ผู้รู้ ผู้ที่รู้ ผู้ที่เบิกบาน ความตื่น ความเบิกบาน สว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหน นั้นคือตัวอวิชชา สิ่งที่คืออวิชชา คือความสว่างกระจ่างแจ้งของใจ ตัวผู้รู้ยังมีอยู่ในหัวใจนั้น คืออวิชชามันสร้างรวงสร้างรังอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนั้น นั่นน่ะที่อยู่ของพญามาร เห็นไหม กิเลสอยู่ที่ใจอยู่ที่ตรงนั้น ทำลายตรงนั้น ทำลายด้วยภาวนามยปัญญา นี่ความสว่างกระจ่างแจ้งของภาวนามยปัญญาเข้าไปเปิดความสว่างกระจ่างแจ้งในหัวใจนั้น มันจะเข้าใจความสว่างกระจ่างแจ้งในใจนั้น แล้วมันจะสลดสังเวช สลดสังเวชในวัฏวนที่มันพาเกิดพาตายมา

สิ่งนี้เองที่พาเกิดสิ่งที่เกิดที่ตายมา แล้วมันจะไปลังเลสงสัยเรื่องมรรคเรื่องผลมาจากไหน มันจะไปลังเลสงสัยเรื่องวัฏวน เรื่องนรก สวรรค์มาจากไหน เพราะใจดวงนี้มันเคยเกิดเคยตายมาตลอด มันเคยได้สถานะนั้นมาทั้งนั้น ทุกดวงใจได้เคยสถานะของความทุกข์ยากมาตลอด แล้วมันเข้าไปเห็นความสถานะนั้น มันจะสลดสังเวชในหัวใจนะ นั่นน่ะธรรม เป็นปลงธรรมสังเวช

สิ่งที่เราเป็นกิเลส มันมืดบอด มันจะไม่เห็นสิ่งนี้เลย แล้วมันอยากรู้อยากเห็น อยากรู้อยากเห็นขนาดไหนมันก็ไม่เห็น แต่เวลาธรรมเข้าไปเปิดความสว่างกระจ่างแจ้งของใจขึ้นมา มันเป็นธรรม พอมันเป็นธรรมขึ้นมา มันสว่างขึ้นมามันก็เห็น เห็นในความเกิดตายของใจดวงนั้น มันถึงปลงธรรมสังเวชไง เป็นธรรมด้วย สลดสังเวชในหัวใจด้วย ไม่ใช่ทุกข์นะ

ถ้าเราอยู่ข้างนอกนี่ เราว่าจะเป็นทุกข์นะ น้ำตาไหลพรากขนาดไหนมันก็เป็นความสลดสังเวชในธรรมนั้น มันเป็นความสุข น้ำตาที่จะชำระล้างภพชาติออกไปจากใจ น้ำตาที่ล้างภพชาติจะไม่มาเกิดมาตายอีกแล้วในวัฏวนนี้

ในวัฏวนนี้ ผู้ที่มีความมืดในหัวใจนี้จะต้องกลิ้งหมุนไปในวัฏฏะ แต่ใจดวงนี้สว่างกระจ่างแจ้ง จะไม่ก้าวเดินไปขวากหนาม จะไม่เกาะเกี่ยวกับในวัฏฏะนี้เลย ความสว่างกระจ่างแจ้งของใจ เห็นไหม นั่นน่ะธรรมสังเวชมันเกิดขึ้นมาจากหัวใจดวงนั้น

หัวใจดวงนั้นถึงจะมีน้ำตาไหลพรากขนาดไหน มันก็เป็นน้ำตาไหลพรากของร่างกาย ของร่างกาย ของเรื่องต่อมน้ำตาที่มันไหลพรากออกมา สิ่งที่น้ำตาไหลพรากออกมานี่มันชำระล้าง แล้วน้ำตานี้ไหลพรากออกมามันก็เป็นเรื่องของธาตุขันธ์

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่มันเป็นสิ่งที่ว่าสะอาดบริสุทธิ์สำหรับใจดวงที่ว่าผู้ที่ขุดกิเลสออกไปจากใจจนหมดสิ้น จะเป็นสิ่งที่ว่าเป็นธรรมสังเวช เป็นธรรมไปทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นธรรมคือเข้าใจสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นก็มีโดยธรรมชาติของเขา แต่ธรรมพาใช้ ต่อไปนี้เป็นธรรมพาใช้ ใช้เป็นประโยชน์กับตัวเอง เห็นไหม อยู่ไปวันๆ หนึ่งจนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่ แล้วจะไม่กลับมา จะไม่มีธาตุขันธ์ผูกติดกับใจดวงนี้ไปเลย

ใจดวงนี้อิสระเสรีภาพตั้งแต่เวลาขุดกิเลสออกไปจากใจ กับใจที่ต้องก้าวเดินไปตามกิเลสนี้ มันต่างกันมหาศาล สิ่งที่ต่างกันมหาศาลนั้นเพราะมันเป็นสถานะที่ว่าสถานะของใครของมัน สถานะของผู้ที่สนใจในการประพฤติปฏิบัติ นี่โอกาสขึ้นกับตอนนี้ โอกาสขึ้นมาจากสิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ นี่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนขุดกิเลสออกไปจากใจก็มีชีวิตอยู่ แต่เป็นชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิตที่ว่าไม่มีวันเกิดและวันตาย ทั้งๆ ที่รอเวลาตายนะ แต่เวลาตายขึ้นมาตายเพราะธาตุขันธ์กลับไปทรงสู่สภาวะเดิมของเขา จิตดวงนี้มันพ้นออกไปตั้งแต่กิเลสออกไปจากใจ ไม่มีสิ่งใดตาย

สิ่งใดแปรสภาพ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา” มันเป็นกิริยาของธรรม มันเป็นธรรมที่ว่าเป็นมรรคเป็นผล มรรค ๔ ผล ๔ แม้แต่อรหัตตมรรค อรหัตตผลก็ต้องก้าวทิ้งไปจนเป็นนิพพาน ๑

มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานพ้นออกไปจากกิริยาของธรรมอันนี้ แล้วส่วนที่เป็นกิริยาของธรรมนี้เราสร้างสมขึ้นมา ธรรมเกิดขึ้นมาจากเราสร้างสมขึ้นมาจากหัวใจ เราสร้างสมขึ้นมาขนาดไหน มันก็เป็นสมบัติของใจดวงนั้นขนาดนั้น นั่นน่ะ โอกาสของเรา ชีวิตของเราเป็นแบบนี้

ชีวิตของเรา ถ้ามีชีวิตอยู่มันก็ทำได้ ชีวิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแล้วเขาก็มีชีวิตอยู่แล้วชีวิตประเสริฐด้วย แต่ชีวิตของผู้ที่ว่ายังประพฤติปฏิบัติโดยความมืดบอด ทำไมไม่มีกำลังใจ ทำไมไม่มีแก่ใจ ไม่มีความมุมานะ มีความอดทนพยายามเพื่อจะพ้นจากทุกข์...ครูบาอาจารย์พ้นแล้ว พระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์ พ้นจากกิเลสแล้วยังเดินจงกรมอยู่ เหยียบสัตว์ตายจนเขาไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่า “พระจักขุบาล เวลาตาดีอยู่ก็ไม่ทำ เวลาตาบอดแล้วยังมาขยันอยู่ทำไม”

นั่นน่ะ มันเป็นวิหารธรรมของผู้ที่พ้นจากกิเลส เป็นการที่ว่าให้ธรรมอยู่ในหัวใจ ใจพ้นจากกิเลสแล้ว ให้หัวใจนั้นมันแยกออกจากกัน ให้อยู่เป็นสุขสบายไง ความสุขสบายนะ ความเพียรขนาดของพระอรหันต์ยังมีความเพียรมากกว่าความเพียรของเราผู้จะชำระกิเลส

แล้วมันจะเอาอะไรไปชนะกิเลสล่ะ ก็กิเลสมันอยู่ในหัวใจแล้วมันต้องผลักไส มันต้องบิดเบือน มันต้องพลิกแพลงในหัวใจของเรา ความเพียรอันนี้มันถึงต้องเป็นความเพียรของผู้ชำระกิเลส ความเพียรของการชำระกิเลสมันต้องทุ่มกันเอาชีวิตเข้าแลก เอาความพยายามอุตสาหะของเราเข้าแลก

แต่ความเพียรของผู้พ้นกิเลสแล้วเป็นแค่ความเพียรเป็นเครื่องอยู่ เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ เขายังทำได้ขนาดนั้น นี่เอามาเทียบเคียง พระจักขุบาลพ้นจากกิเลสแล้วก็ยังเดินจงกรมอยู่ ยังภาวนาอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน พ้นจากกิเลสแล้วก็ยังภาวนาอยู่ เพราะเห็นคุณค่าของการประพฤติปฏิบัติ เห็นคุณค่าของการทำความเพียร

เรามันไม่เห็นคุณค่าของทำความเพียร เราถึงต้องอยู่ใต้อำนาจของกิเลสตลอดไป แล้วเราจะเป็นทุกข์ตลอดไป ถ้าเป็นทุกข์ เห็นไหม ทุกข์เพราะตายเพราะเกิด ทุกข์เพราะเวียนไปในวัฏฏะ ไม่ใช่มีความสุขขึ้นมา

ถ้าเราจะมีความสุขขึ้นมา เราต้องเอาทุกข์เข้าแลก เอาความทุกข์ เอาความเพียร เอาความวิริยอุตสาหะนี้เข้าแลกขึ้นมา แล้วเราจะสมหวัง เราจะได้ความสุขสมหวังกับความปรารถนาของเรา เราสมหวังเพราะความเพียรของเรา ความเพียร ความวิริยอุตสาหะของใจดวงนั้น จะไม่มีสมความปรารถนาด้วยการนั่งๆ นอนๆ อยู่ แล้วให้มันสมความปรารถนา เป็นไปไม่ได้ เอวัง